เคยได้ยินประโยคเหล่านี้กันไหมครับ “เห้อ.. คนรุ่นใหม่เนี่ย ทำไมถึงใจร้อน และมองอะไรฉาบฉวยจัง” และ “โหย.. คนรุ่นเก่าไดโนเสาร์ชัดๆ ป่านนี้อะไรๆก็เปลี่ยนไปหมดแล้ว ทำไมไม่รู้จักปรับตัวตามบ้าง”
ในช่วงที่เมืองไทยร้อนระอุแบบนี้ พวกเราน่าจะคุ้นเคยกับคำว่า “คนรุ่นใหม่” และ “คนรุ่นเก่า” ซึ่งต่างฝ่ายก็มักจะมีจุดยืนของตนเอง และแสดงออกถึงการไม่ยอมรับความคิดเห็นของอีกฝ่ายหนึ่ง ผลลัพธ์ก็คือเราจะพบการทะเลาะกันด้วยอารมณ์มากกว่าการที่จะเข้าใจกันและใช้เหตุผลมาหาทางออกที่ดีที่สุดร่วมกัน
แล้วจะมีวิธีไหนไหมครับ ที่เราจะสามารถนำความเชี่ยวชาญและประสบการณ์จากทั้ง “คนรุ่นใหม่” และ “คนรุ่นเก่า” มาใช้เพื่อทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุด?
ก่อนอื่น พื้นฐานที่สำคัญสำหรับคนทั้งสองรุ่นคือต้องเข้าใจว่าคนแต่ละรุ่นมีความแตกต่างกัน ทั้งในส่วนของค่านิยม, ความเชื่อ, มุมมอง, พื้นเพ, และสังคมที่เติบโตมา ส่งผลให้เกิดกรอบการคิด การตัดสินใจ ที่แตกต่างกัน ซึ่งจริงๆแล้วเรื่องบางเรื่องก็ไม่ได้มีใครถูกหรือใครผิดชัดเจน สิ่งที่สำคัญคืออะไรที่ตอบโจทย์ต่อเป้าหมายร่วมได้ดีที่สุด
ปัญหาคือการพูดคุย แสดงความคิดเห็น เพื่อเกิดการแชร์ไอเดียมักจะไม่เกิดขึ้นเนื่องจากประเด็นสำคัญคือ เรามักไม่เชื่อใจกัน (TRUST) หรือไม่ได้คิดว่าอีกฝ่ายมีเจตนาที่ดีต่อการทำเป้าหมายร่วมให้สำเร็จ จนเราไม่อยากแชร์กัน จึงไม่เกิดการเรียนรู้ และไม่เกิดทางแก้ปัญหาที่สร้างสรรค์ขึ้นมา
สำหรับการแก้ไขเพจนี้ได้มีพูดไปบ้างแล้วเกี่ยวกับการใช้ Everything DiSC มาช่วยให้เราเข้าใจทั้งตัวเอง และเข้าใจคู่สนทนา เพื่อที่จะ “Connect” ระหว่างเราและเขา ซึ่งตรงนี้เองที่จะช่วยให้เราสามารถก้าวข้ามประเด็นเรื่อง Generation เข้ามาสู่การเข้าใจคู่สนทนาด้วยรูปแบบบุคลิกภาพของเขา
ซึ่งคนมักจะสงสัยว่า
1.รูปแบบ DiSC สามารถเปลี่ยนไปได้ไหม ถ้ามีอายุมากขึ้น
2.Generation มีผลต่อรูปแบบ DiSC ไหม
คำตอบแบบสั้นๆก็คือ แทบจะไม่มีผลเลยครับทั้งข้อ 1 และ 2 คือประมาณ 1% ที่จะเกิดความคลาดเคลื่อนหรือเปลี่ยนแปลงจากอายุ หรือ Generation
หรือถ้าพูดให้เข้าใจง่ายขึ้นไปอีกก็คือ DiSC ก้าวข้ามความแตกต่างในเรื่องของอายุและสามารถเป็นสะพานเพื่อเชื่อมให้คนที่อยู่ต่าง Generation สามารถเข้าใจกันได้ ซึ่งองค์กรสามารถนำ DiSC ไปใช้สร้างบรรยากาศการทำงานที่คนต่าง Generation สามารถสอนและเรียนรู้จากกันได้
จากที่เราเคยมองว่าคนๆนี้เป็น “คนรุ่นเก่า” หรือ “คนรุ่นใหม่” ซึ่งเป็นสิ่งที่อาจทำให้เรายึดติดกับมุมมองของเรา เปลี่ยนเป็นคนนี้ๆมีรูปแบบบุคลิกภาพแบบไหน D i S C เพื่อเข้าใจเขาและเรียนรู้วิธีการ “Connect” กับเขาเพื่อหาวิธีการทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นได้
ยิ่งสำหรับในการทำธุรกิจ ไม่ว่าใครจะทำงานในธุรกิจแบบ B-To-B, B-To-C หรือ A-To-Z สุดท้ายการทำงาน หรือธุรกิจก็ตั้งอยู่บนการทำงานแบบ H-To-H : Human to Human หรือการทำงานกับคนอยู่ดี ดังนั้นการนำ Everything DiSC ไปใช้ในองค์กร จะสร้างวัฒนธรรมการเข้าใจคน การ Connect คน และสร้างการทำงานที่มีประสิทธิภาพและมีความสุขได้
โดยเฉพาะกับปัจจุบันที่องค์กรจะประกอบไปด้วยความแตกต่างของที่รวมกันถึง 5 Generation (Traditionalists, Baby Boomers, Generation X, Generation Y or Millenials, Generation Z) หากแต่ละ Generation ทำงานแยกส่วนกันก็คงเหมือนการเป็นประเทศปิด 5 ประเทศ ซึ่งไม่ได้เกิดการค้าขายหรือแลกเปลี่ยนสิ่งที่ตัวเองถนัด สุดท้ายคนแต่ละประเทศก็คงมีของกิน ของใช้ ที่จำกัด แต่หากประเทศทั้ง 5 ร่วมมือกัน เปิดเสรีการค้าขาย เกิดการแลกเปลี่ยนกัน สามารถนำสิ่งที่ตนเองถนัดมาใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ สุดท้ายคนทุกประเทศก็จะได้ประโยชน์และมีความสุขมากขึ้นนั่นเอง
สุดท้ายนี้ แอดมินก็อยากให้ทุกคนลอง เมื่อต้องสื่อสารกับคนที่แตกต่างจากเรา รับรู้ความแตกต่างของเขา เข้าใจว่าการกระทำบางอย่างของเขา บางครั้งเขาอาจจะไม่รู้ตัวเหมือนที่บางทีเราก็ไม่รู้ตัว และให้ลองมองลึกลงไปว่าเจตนาของเขา พฤติกรรมของเขาสอดคล้องต่อเป้าหมายร่วมกันไหม หากมีส่วนไหนที่เราเห็นด้วยไม่ตรงกันก็พูดคุยกัน โดยเริ่มที่ตัวเรา ปรับตัวเองจูนตัวเองให้เข้ากับเขา เพื่อที่การพูดคุยนั้นทั้งเราและเขาจะได้เรียนรู้จากกันและกัน และหาทางออกที่ดีที่สุด
สำหรับใครที่สนใจการนำ Everything DiSC ไปใช้ สามารถติดตามเพจนี้ได้ หรือลองย้อนกลับไปดูโพสเก่าๆได้เล้ย
การสังเกตรูปแบบ DiSC ดูได้จากโพสนี้เลยครับ
https://www.facebook.com/DISCThailand/photos/a.276977119328852/751402845219608/?type=3&theater
#GenerationGap #คนรุ่นเก่า #คนรุ่นใหม่ #EverythingDiSC #DiSCThailand